g-torrent.ru
อุปนันทะ: "ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา. " บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะไปแล้ว ก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า "พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา. " [รูปิยะ แปลว่า เงินตรา หมายความว่า โยมคนนั้นรู้สึกว่า ถ้าพระภิกษุรับเงิน ก็ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้าน จึงพูดตำหนิออกมา] ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า "ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะ (เงินตรา) เล่า? " แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า "ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่าเธอรับรูปิยะจริงหรือ? " ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า "จริง พระพุทธเจ้าข้า. " พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า "ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.
ทองเงินตกอยู่ภายในวัด หรือภายในที่อยู่, ภิกษุหยิบยกเองก็ดี ใช้ให้หยิบยกก็ดี, แล้วเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า 'เป็นของผู้ใด, ผู้นั้นจักนำไป'(คือเก็บไว้เพื่อคืนเจ้าของ) ๓. ภิกษุวิกลจริต ๔. ภิกษุอาทิกัมมิกะ (คือภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติในสิกขาบทนี้) ตอบยาว และลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อความซื่อตรง และเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล เรียบเรียงจากตอบโจทย์บนนิมฺมโลเพจ วันที่ 15 กรกฎาคม 2559
มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนดั่งน้ำบริสุทธิ์ ปราศจากความกระหาย 2. ชีวิตมีแต่ความราบรื่น เหมือนน้ำที่ไหลรื่น 3. มีพละกำลัง อายุยืน คล่องแคล่วว่องไว 4. มีชื่อเสียง มีบริวารมาก 5. เงินทองไหลมาเทมา มีเงินใช้ไม่ขาดมือ 6. มีผิวพรรณผ่องใส 7. สติปัญญาดี มีความสุข คำถวายน้ำพระพุทธเจ้า อะระหะตาทีหิ นะวะคุเณหิ สะมันนาคะตัสสะ สัมมาสัมพุทธัสสะ อิมัง อุทะกัง เทมิ ข้าพเจ้าขอถวายน้ำใช้น้ำฉันนี้ แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีคุณ ๙ ประการ มีความเป็นพระอรหันต์ ขอบคุณข้อมูลและภาพบางส่วนจาก,.,
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ [นิสสัคคิยปาจิตตีย์ คือ อาบัติปาจิตตีย์ ที่ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัตินั้นก่อน ในกรณีนี้คือ ต้องสละรูปิยะ หรือเงินทองนั้้น] วิธีสละรูปิยะ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ดังนี้:- ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละรูปิยะนั้น อย่างนี้:- ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าจีวรเฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า "ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรูปิยะไว้แล้ว. ของนี้ของข้าพเจ้า เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละรูปิยะนี้แก่สงฆ์. " ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ถ้าคนผู้ทำการวัดหรืออุบาสก เดินมาในสถานที่เสียสละนั้น พึงบอกเขาว่า "ท่านจงรู้ของสิ่งนี้" ถ้าเขาถามว่า "จะให้ผมนำของสิ่งนี้ไปหาอะไรมา? " อย่าบอกว่า จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา. ควรบอกแต่ของ ที่เป็นกัปปิยะ(ของที่สมควรแก่ภิกษุบริโภคใช้สอย) เช่น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย, ถ้าเขานำรูปิยะนั้นไปแลกของที่เป็นกัปปิยะ มาถวาย เว้นภิกษุผู้รับรูปิยะ, ภิกษุนอกนั้นฉันได้ทุกรูป, ถ้าได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี; ถ้าไม่ได้, พึงบอกเขาว่า "โปรดช่วยทิ้งของนี้" ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี; ถ้าเขาไม่ทิ้งให้, พึงสมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ.
Sitemap | g-torrent.ru, 2024